เมื่อเราได้เรียนรู้การออมและวิธีการออมไปพอสมควร และมีความเข้าใจแล้วว่าดอกผลที่งอกเงยจากการนำไปลงทุนเพิ่มค่าเป็นอย่างไร วันนี้เรามาดูกันว่า การนำเงินไปลงทุนมีตราสารอะไรให้เราสามารถเลือกใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนได้อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ตราสารทางการเงินแต่ละประเภท โดยทั่วไปจะให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของตราสารนั้นๆ ซึ่งโดยพื้นฐานตราสารที่มีความเสี่ยงสูงก็จะให้ผลตอบแทนสูงมากกว่าตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่การที่เราจะเลือกลงทุนก็ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่เราสามารถยอมรับได้ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น คนวัยทำงานสามารถลงทุนโดยเน้นตราสารที่มีความเสี่ยงสูงได้ เพราะยังมีระยะเวลาในการลงทุนค่อนข้างยาว แต่สำหรับคนที่ใกล้จะเกษียณอายุการลงทุนก็ต้องพยายามรักษาเงินต้นไม่ให้สูญเสียหรือขาดทุน เนื่องจากเงินส่วนนี้จะเป็นเงินในการใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีวิตหลังเกษียณ หากลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงสูงแล้วเกิดขาดทุนก็อาจจะกระทบกับเงินส่วนที่จะนำไปใช้จ่ายซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราไม่มีรายได้ประจำแล้ว ดังนั้นจึงต้องลดความเสี่ยงในการลงทุนลงโดยเน้นการลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำมากกว่า
สำหรับตราสารทางการเงินที่เป็นเครื่องมือสำหรับการลงทุนแสวงหาผลตอบแทนมีดังนี้
1) ตราสารหนี้ เป็นตราสารที่ผู้ออกต้องการระดมเงินกู้ยืมจากประชาชน ดังนั้นหากลงทุนในตราสารหนี้เราก็จะอยู่ในฐานะของการเป็นเจ้าหนี้ ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยที่มีอัตราคงที่แน่นอน หรืออาจจะมีการอ้างอิงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ได้ เช่น ดอกเบี้ยที่อ้างอิงอัตราเงินเฟ้อ และเมื่อครบกำหนดเราจะได้รับเงินต้นคืนทั้งหมด ซึ่งผู้ออกตราสารหนี้มีทั้งองค์กรภาครัฐบาลและบริษัทเอกชน
สำหรับตราสารหนี้ที่ออกโดยภาครัฐหากมีอายุไม่เกิน 1 ปี จะเรียกว่า “ตั๋วเงินคลัง” ส่วนตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจที่มีอายุเกิน 1 ปี เรียกว่า “พันธบัตร” ในแง่ของผลตอบแทนตราสารกลุ่มนี้ซึ่งออกโดยภาครัฐถือว่ามีความเสี่ยงต่ำที่สุด เพราะมีความน่าเชื่อถือและความมั่นคงเนื่องจากเป็นหน่วยงานภาครัฐ
ด้านตราสารหนี้ที่ผู้ออกเป็นบริษัทเอกชน คือ “หุ้นกู้” ซึ่งปัจจุบันบริษัทต่างๆ มีการใช้เป็นเครื่องมือในการกู้ยืมเงินอย่างแพร่หลาย ทำให้ประชาชนสามารถเลือกลงทุนได้โดยพิจารณาจากทั้งอายุของหุ้นกู้และอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับ รวมถึงอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพของบริษัทและโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะต้องพิจารณาปัจจัยที่กล่าวมาร่วมกันเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนมากที่สุด
2) ตราสารทุน การลงทุนในตราสารทุนหรือ “หุ้น” ถือว่าให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนตราสารประเภทอื่นๆ ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงสูงกว่า ซึ่งการลงทุนในหุ้นเปรียบเสมือนการที่เราได้ร่วมเป็นเจ้าของกิจการทำให้ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลเมื่อกิจการมีผลการดำเนินงานดี และเรายังมีโอกาสได้กำไรจากการขายหุ้นด้วยเช่นกัน
สำหรับ “เงินปันผล” ที่กิจการจ่ายให้เราในฐานะผู้ถือหุ้นมาจากผลการดำเนินงานของบริษัทที่มีกำไร จึงสามารถนำมาปันผลคืนให้ตามสัดส่วนการถือครอง โดยความถี่ในการจ่ายปันผลของบริษัทขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทหรือเป็นไปตามมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งอาจจะมีการจ่ายเงินปันผลปีละครั้ง หรือ 2 ครั้งก็ได้ และบางบริษัทอาจจะมีการแบ่งจ่ายเป็นรายไตรมาส
ทั้งนี้ในกรณีที่บริษัทมีแผนการลงทุนขยายกิจการเพิ่ม หรือต้องการสำรองเงินไว้สำหรับค่าใช้จ่ายพิเศษที่จะเกิดในอนาคต แม้ผลประกอบการของบริษัทจะมีกำไรแต่ก็อาจจะไม่มีการจ่ายปันผล ทั้งนี้เพื่อเป็นการเก็บสำรองเงินไว้สำหรับการลงทุนเพิ่มเติม
ส่วนกำไรจากราคาหุ้นเกิดจากการที่เราขายหุ้นไปในราคาที่สูงกว่าราคาที่เราซื้อมา ส่วนต่างนี้จึงเป็นกำไรที่เกิดจากราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งการที่ราคาหุ้นมีการเติบโตสูงขึ้นก็มาจากการขยายตัวของกิจการที่มาจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น ผลประกอบการมีกำไรดี บริษัทมีการขยายโรงงาน ยอดขายสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันหุ้นบางตัวราคาก็สูงขึ้นจากความต้องการของนักลงทุนที่มีมากและไม่ได้ตั้งอยู่บนปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ดังนั้นการจะลงทุนจึงต้องพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน
ในทางตรงกันข้ามหากราคาหุ้นบริษัทที่เราถืออยู่มีการปรับตัวลดลง ทำให้ราคาต่ำกว่าตอนที่เราซื้อมาก็ทำให้เกิดการขาดทุนได้เช่นกัน เนื่องจากราคาหุ้นเคลื่อนไหวด้วยปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งบางปัจจัยก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้มาจากตัวบริษัทแต่อาจจะมาจากภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศ เศรษฐกิจโลก สถานการณ์ความกังวลทางการเมือง อย่างไรก็ตามการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นก็สามารถเกิดจากสาเหตุของบริษัทเองก็ได้ เช่น การมีสินค้าคู่แข่งทำให้ยอดขายปรับลดลง ความนิยมของผู้บริโภคที่ลดลง เป็นต้น
ด้วยราคาหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานี้เอง ทำให้หุ้นเป็นตราสารทางการเงินที่มีความเสี่ยงมากกว่าตราสารประเภทอื่นๆ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เรามีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย
3) หน่วยลงทุน เป็นการลงทุนตราสารหนี้และตราสารทุน รวมถึงตราสารประเภทอื่นๆ ผ่าน “กองทุนรวม” ซึ่งจัดตั้งโดยบริษัทจัดการลงทุน หรือ บลจ. มีทีมผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยดูแลและบริหารจัดการลงทุนแทนเรา แต่ละกองทุนก็จะมีการกำหนดนโยบายการลงทุนไว้อย่างชัดเจนว่าจะลงทุนตราสารใดหรือลงทุนด้วยกลยุทธ์แบบไหน
กองทุนรวมเหมาะสำหรับคนที่ยังไม่คุ้นเคยกับการลงทุนมากนัก อาจจะมีความรู้หรือประสบการณ์ในการลงทุนไม่เพียงพอ รวมถึงนักลงทุนบางคนที่แม้ว่าจะมีความรู้ความเข้าใจแล้วแต่อาจจะไม่มีเวลาในการติดตามข้อมูลข่าวสาร นอกจากนี้เนื่องจากกองทุนรวมเป็นการรวบรวมเงินจากนักลงทุนหลายๆ คน เราจึงสามารถเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มาก
และนอกจากกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้หรือตราสารทุน กองทุนรวมยังมีการลงทุนในตราสารประเภทอื่นด้วย เช่น ทองคำ น้ำมัน อสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ซึ่งความหลากหลายของสินทรัพย์ที่ไปลงทุนนี้ทำให้กองทุนรวมเป็นตัวช่วยในการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนได้ค่อนข้างดี
4) ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เป็นตราสารสำหรับการออมและการลงทุนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นการสร้างหลักประกันในชีวิตไปพร้อมกัน โดยบริษัทประกันจะจ่ายเงินตามจำนวนทุนประกันเมื่อครบสัญญา หรือถ้าหากผู้เอาประกันเสียชีวิตก่อนครบกำหนดสัญญา เงินตามจำนวนทุนประกันก็จะตกสู่ผู้รับผลประโยชน์ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จึงคล้ายกับการออมเงินในระยะยาว
จากทางเลือกการลงทุนในตราสารทั้ง 4 ประเภทที่กล่าวมานี้ ถือเป็นแนวทางพื้นฐานที่เราสามารถเลือกลงทุนได้ด้วยตัวเองและไม่มีความซับซ้อนมาก ซึ่งหากศึกษาทำความเข้าใจอย่างละเอียดรอบคอบก็จะสามารถช่วยทำให้เงินออมของเราเพิ่มมูลค่าได้เป็นอย่างดี