คงปฏิเสธไม่ได้ว่าบัตรเครดิตเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค ด้วยคุณสมบัติที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ผู้ชื่นชอบความรวดเร็วทันใจ
รูดง่าย จ่ายเร็ว อะไรๆ ก็ได้ดั่งใจไปเสียหมด ทำให้บัตรเครดิตสร้างความแตกต่างในเชิงความรู้สึกของผู้บริโภคได้ดีกว่าการ ใช้จ่ายด้วยเงินสด แต่ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนมี 2 ด้านเสมอ เพราะสิ่งที่ตามกันมาติดๆ คือ ยอดหนี้จากการใช้บัตรเครดิตก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
และน้อยกว่าประมาณ 2 ใน 3 ของค่างวดที่ต้องผ่อนชำระรวมกับค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน แบบนี้การเช่าอาศัยอาจจะดีกว่า นอกจากนี้การทำงานที่มีโอกาสโยกย้ายถิ่นฐาน หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น สภาวะเศรษฐกิจไม่ดี อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยสูงลิบ ก็อาจจะทำให้เราตัดสินใจเลือกเช่าไปก่อนก็ได้
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เราพลาดท่าเสียทีตกเป็นทาสของบัตรเครดิต ขณะเดียวกันก็สามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติพิเศษต่างๆ ได้อย่างคุ้มค่า เราลองมาดูว่า แท้จริงแล้วบัตรเครดิตนั้นมีข้อดีอย่างไรและจุดไหนเป็นข้อเท็จจริงที่เราจะต้องทราบและควรเพิ่มความระมัดระวังในการใช้
หากเอ่ยถึงประโยชน์หรือข้อดีที่เด่นชัดของบัตรเครดิตโดยทั่วไปมีดังนี้
- สะดวกสบายในการใช้จ่าย – ลดความเสี่ยงการสูญหายหรือถูกโจรกรรม
สิ่งที่เป็นวัตถุประสงค์หลักของการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินให้เรามีบัตรเครดิตได้ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ คือ ความสะดวกสบาย เนื่องจากไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็สามารถซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินสด บางครั้งการหอบเงินไปจำนวนมากก็สามารถเกิดการสูญหายหรือมีโอกาสถูกโจรกรรม ซึ่งบัตรเครดิตช่วยลดความเสี่ยงในประเด็นเหล่านี้ได้
- ยืมเงินมาใช้ล่วงหน้าแบบไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย
บัตรเครดิตจะมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย (Grace Period) ประมาณ 45-60 วัน นับถัดจากวันที่มีการสรุปยอด ซึ่งก็เท่ากับว่าเป็นการยืดระยะเวลาในการชำระเงินออกไป สามารถนำเงินไปใช้ล่วงหน้าได้โดยไม่เสียดอกเบี้ยถ้าเราชำระค่าสินค้าและบริการคืนไปเต็มจำนวน เหมือนกับการที่มีคนหยิบยื่นเงินให้เรายืมเอาไปใช้ก่อนฟรีๆ เลยทีเดียว
- สิทธิพิเศษมากมาย
ในระยะหลังสถาบันการเงินผู้ออกบัตรเครดิตมีการแข่งขันกันในเรื่องสิทธิพิเศษอย่างดุเดือด ทั้งรายการส่งเสริมการขายหรือโปรโมชั่น แคมเปญต่างๆ ที่พยายามสร้างความเหนือชั้นเพื่อให้ผู้ถือบัตรรู้สึกว่าตนเองเป็นบุคคลที่ได้รับข้อเสนอพิเศษและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ซึ่งเราเองก็พลอยหลงใหลได้ปลื้มไปกับความพิเศษนี้โดยที่ไม่รู้ว่านี่เป็นการกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้นด้วย
สำหรับสิทธิพิเศษมักจะมาในรูปแบบของส่วนลดสินค้าและบริการจากห้างร้านต่างๆ ซึ่งบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องรอเทศกาลลดราคา อีกทั้งยังจะได้สิทธิประโยชน์ที่พิเศษเพิ่มขึ้นไปอีก นอกจากนี้ก็ยังมีการสะสมคะแนนเพื่อนำไปใช้แลกรับของสมนาคุณมี่มีตั้งแต่บัตรกำนัล สินค้าต่างๆ ไปจนถึงตั๋วเครื่องบิน และสิทธิพิเศษที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเมื่อไม่นานมานี้คือ การคืนเงิน หรือ Cash back ซึ่งในแต่ละครั้งที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรจะได้รับเงินคืนเข้าบัญชีตามอัตราที่กำหนด โดยทั่วไปจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 0.4-5% ของยอดการใช้จ่าย
นอกจากนี้บางบัตรเครดิตยังมีการแถมความคุ้มครองพิเศษให้กับผู้ถือบัตรเครดิต เช่น ประกันภัยจากการเดินทาง ค่ารักษาพยาบาลหากเกิดอุบัติเหตุขณะอยู่ต่างประเทศ การประกันกระเป๋าเดินทางสูญหายหรือล่าช้า ไปจนถึงการประกันชีวิตแบบที่ให้ความคุ้มครองสินเชื่อ สิ่งเหล่านี้จึงสร้างแรงจูงใจที่ทำให้คนหันมาใช้บัตรเครดิตมากขึ้นเรื่อยๆ
- เพิ่มอำนาจการใช้จ่าย
บัตรเครดิตแต่ละใบจะมีวงเงินการใช้จ่าย ซึ่งสถาบันการเงินผู้ออกบัตรจะอนุมัติวงเงินให้ประมาณ 2-5 เท่าของรายได้ต่อเดือน ทำให้เรามีอำนาจในการจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการที่ต้องการได้มากขึ้นแม้ว่าขณะนั้นอาจมีเงินสดไม่เพียงพอ โดยสามารถเลือกผ่อนชำระเป็นรายงวดได้ อีกทั้งบางครั้งยังดึงดูดใจด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% ที่ผ่อนได้โดยไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแม้แต่บาทเดียว สมมติว่าเรารูดบัตรเครดิตซื้อสินค้าราคา 30,000 บาท ด้วยการใช้โปรโมชั่นผ่อน 0% นานถึง 6 เดือน นั่นแสดงว่าเราจะต้องจ่ายเงินผ่อนชำระค่าสินค้าเพียงเดือนละ 5,000 บาท แต่ต้องเข้าใจว่าวงเงินใช้จ่ายของบัตรเครดิตใบนั้นก็จะถูกตัดไปทันทีเช่นกัน
- วงเงินเผื่อฉุกเฉิน
สำหรับกรณีที่เราจำเป็นต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วน หรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด วงเงินฉุกเฉินสามารถช่วยให้เราบริหารจัดการเงินได้ดีขึ้นและช่วยเหลือเราในยามขับขันได้เป็นอย่างดี
- สร้างประวัติเครดิต
การใช้บัตรเครดิตโดยที่เราชำระเงินคืนเต็มจำนวนตามระยะเวลาที่กำหนดถือเป็นการสร้างประวัติทางการเงินที่ดี และเป็นประโยชน์สำหรับการขอสินเชื่ออื่นในอนาคต เนื่องจากข้อมูลของเราจะถูกเก็บในเครดิตบูโรซึ่งสถาบันการเงินจะนำไปประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ
นอกจากข้อดีที่กล่าวมาแล้วบัตรเครดิตยังมีสิ่งที่เป็นข้อเสียหรือข้อเท็จจริงที่เราควรจะต้องทราบและต้องเข้าใจก่อนที่จะใช้ ดังนี้
- อัตราดอกเบี้ยสูง
เนื่องจากบัตรเครดิตเป็นการให้สินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน การคิดดอกเบี้ยของสถาบันการเงินจึงอยู่ในอัตราที่ค่อนข้างสูงประมาณ 20% ต่อปี โดยเราจะเสียดอกเบี้ยก็ต่อเมื่อเราชำระค่าสินค้าและบริการไม่ครบตามยอดการใช้จ่ายหรือชำระเพียงขั้นต่ำ ทำให้มียอดหนี้คงค้างซึ่งจะเกิดภาระดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมทันที
- มีค่าธรรมเนียม
เป็นไปตามคำพูดที่ว่า “ของฟรีไม่มีในโลก” บัตรเครดิตก็ไม่ได้มีไว้ให้ใช้ฟรีเช่นเดียวกัน เพราะส่วนใหญ่บัตรเครดิตจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายปี แม้ว่าปัจจุบันผู้ออกบัตรเครดิตหลายรายจะชักจูงให้คนหันมาใช้บัตรเครดิตมากขึ้นด้วยการใช้กลยุทธ์ฟรีค่าธรรมเนียม บางเจ้าก็ให้ฟรีเฉพาะค่าธรรมเนียมแรกเข้าหรือแค่ค่าธรรมเนียมรายปี มีเพียงไม่กี่รายที่จะฟรีค่าธรรมเนียมทั้ง 2 ส่วนนี้
อีกทั้งบัตรเครดิตยังมีค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินสำหรับการเบิกเงินสดล่วงหน้า ซึ่งการใช้บัตรเครดิตเบิกเงินสดมักจะคิดค่าธรรมเนียมเป็นร้อยละของยอดที่เบิกมาใช้จ่าย และนอกจากภาษีที่เกิดขึ้นจากตัวบัตรเครดิตเองแล้ว เราต้องไม่ลืมว่าเราจะต้องมีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7% ของค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่เบิกเงินสดล่วงหน้าจนถึงวันชำระคืนหรือวันสรุปยอดบัญชี
- สร้างพฤติกรรมการขาดความระมัดระวังในการใช้จ่าย
ด้วยความสะดวกสบายและแคมเปญกระตุ้นการใช้บัตรเครดิต ทั้งจากบรรดาห้างร้านต่างๆ รวมถึงสถาบันการเงินผู้ออกบัตร อาจจะทำให้คุณเพลิดเพลินไปกับใช้เงินในอนาคตและก่อหนี้ที่ไม่จำเป็นโดยไม่ทันยับยั้งชั่งใจ เนื่องจากเราไม่ได้รู้สึกว่าเงินในกระเป๋าของเราลดลง จุดนี้จึงทำให้ขาดความระมัดระวังในการใช้จ่าย บางคนรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รูดจนเต็มวงเงินไปแล้ว
เมื่อรู้ทั้งประโยชน์และข้อพึงระวังต่างๆ แล้ว เราเองต้องตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้เสมอในการใช้บัตรเครดิตแต่ละครั้ง สิ่งสำคัญคือ การพิจารณาถึงความจำเป็นในการใช้จ่ายซึ่งเป็นพื้นฐานของการบริหารเงินในกระเป๋าของเราเอง การมีบัตรเครดิตจะเป็นสิ่งที่ช่วยคุณจัดการเรื่องเงินได้ง่ายขึ้นถ้ารู้จักใช้อย่างเหมาะสม แต่เมื่อไรที่เราปล่อยให้ความอยากอยู่เหนือเหตุผลวันหนึ่งคุณอาจจะเป็นหนี้ก้อนโตโดยที่คุณไม่ตั้งใจ เมื่อทราบอย่างนี้แล้วก็ควรจะนำไปปรับใช้กับพฤติกรรมของตัวเราเอง เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นทาสของบัตรเครดิตในอนาคตบรรดาห้างร้านต่างๆ รวมถึงสถาบันการเงินผู้ออกบัตร อาจจะทำให้คุณเพลิดเพ